วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

สิทธิของเด็ก

                                         บันทึกการอ่าน

                            วันที่ ๑๕                      เดือน มกราคม                 พ.ศ. ๒๕๕๙
                            ที่มา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุษบา คุณาศิรินทร์     ชื่อเรื่อง : สิทธิของเด็ก 
                            พิมพ์ครั้งที่ ๑
                            สำนักพิมพ์ : บริษัท พัฒนาคุณภาพ วิชาการ (พว.) จำกัด
                            หน้า ๑๗-๒๕

        เด็กทุกคนที่เกิดมา ต่างต้องการความรักและความเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่วันข้างหน้า ดังนั้น ถ้าต้องการให้สังคมมีความสงบสุข มีความปลอดภัย ผู้ใหญ่ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้แก่เด็ก ทั้งนี้เพื่อจะทำให้เด็กสามารถเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมได้ในอนาคต สิทธิของเด็กที่สำคัญ มี ๔ ประการคือ
    ๑. สิทธิที่จะมีชีวิต ปัจจุบันเด็กที่ถูกทำทารุณในลักษณะต่างๆ มีอยู่มากมายเด็กเหล่านี้ได้รับความยากลำบากในการดำรงชีวิตและไม่ได้ความเป็นธรรม ซึ่งทำให้เด็กเป็นอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีสิทธิที่จะเกิดมาตามธรรมชาติ ผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิทำร้ายเด็ก
    ๒. สิทธิที่จะได้รับการป้องกัน   เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องดูแบให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆสิทธิของเด็กที่จะได้รับการปกป้อง เช่นได้รับความคุ้มครองจากการถูกละเมิดทางเพศ
    ๓. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา  ผู้ใหญ่ควรส่งเสริมและสนับสนุนเด็กตามสิทธิของเด็กที่จะได้รับการพัฒนา เช่น บิดามารดาหรือผู้ปกครองต้องสอนสิ่งที่ดีให้แก่เด็ก เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้ฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี
    ๔.  สิทธิที่จะมีส่วนร่วม การอยู่ร่วมกันในสังคม เด็กสามารถมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม เช่นเดียวกับสมาชิกในชุมชนทุกคน โดยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือข้อบังคับสิทธิเด็กที่จะมีส่วนร่วม เช่น เด็กควรได้พบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น 
                                "เด็กในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าที่ดีได้ถ้าเราให้สิทธิให้กับเด็ก"



อาชีพน่ารู้

                                            บันทึกการอ่าน

                           วันที่ ๑๕                      เดือน มกราคม           พ.ศ.๒๕๕๙
                           ที่มา : นิภา บุญยะรัตน์                                   ชื่อเรื่อง :  อาชีพน่ารู้
                           พิมพ์ครั้งที่ ๑
                           สำนักพิมพ์ : บริษัท อักษรเจริญทัศน์ จำกัด
                           หน้า ๑- ๑๒

              อาชีพ คือ การทำงานต่างๆ เพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว อาชีพสุจริตทุกอาชีพต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกันและต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งการประกอบอาชีพมีความสำคัญ ดังนี้ ๑. ความสำคัญต่อตนเอง ทำให้เรามีรายได้ไว้ใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่นเป็นค่าอาหาร   เป็นค่ารถโดยสาร หรือไว้ซื้อเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นต้น
        ๒. ความสำคัญต่อครอบครัว ทำให้มีรายได้มาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข เช่น เป็นค่าอาหาร ค่านำ้ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
        ๓. ความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติ  ทำให้มีการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศชาติดีขึ้น มีเงินมาไว้สร้างสิ่งต่างๆ เช่น ถนน อาคาร สำนักงานต่างๆ เป็นต้น
             นอกจากการประกอบอาชีพแต่ละอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพจะต้องมีทักษะมีความรู้ในอาชีพของตนเอง เช่น อาชีพชาวไร่ ต้องมีทักษะกระบวนการทำงาน มีความรู้เกี่ยวกับการปลูก การบำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ที่ตนเองปลูก เป็นต้น

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

รู้ทันโรค...ไม่ป่วย

                                        บันทึกการอ่าน

                                วันที่ ๒๗              เดือน มกราคม           พ.ศ. ๒๕๕๙
                                ที่มา : นพ. สิทธา ลิขิตนุก                      ชื่อเรื่อง : รู้ทันโรค...ไม่ป่วย
                                พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                สำนักพิมพ์ : บริษัท มายเบสท์บุคส์ จำกัด
                                หน้า ๑๓-๒๕

         การดูแลรักษาสุขภาพในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อย่างเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นหวัด คัดจมูกนำ้มูกไหล คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเกิดมาแล้วไม่เคยเป็นหวัด แต่หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมเราถึงเป็นหวัดกันได้ง่ายดาย แค่การเปลี่ยนแปลงของอากาศเท่านั้นน่ะหรือ ?
         อาการของไข้หวัด ผู้ใหญ่จะมีอาการจาม นำ้มูกไหลมาก่อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักไม่ค่อยมีไข้เชื้อจะแพร่กระจายทางเดินหานใจของผู้ป่วย ๒-๓ ชั่วโมงและหมดลงภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนเด็กเล็กอาจจะรุนแรงและมักจะกลายเป็นหลอดลมอักเสบ และปอดบวม
         " เคล็ดลับห่างไกลจากโรคหวัด"
๑.ป้องกันเชื้อใหม่ : ไม่ให้เข้าเพิ่มขึ้นด้วยการสวมหน้ากากอนามัยก็สามารถลดเชื้อได้อีก ๕๐ %  เชื้อใหม่จะไม่ได้เจอเชื้อเก่าในลำคอเราแล้วแพร่พันธุ์อย่างสนุกสนาน
๒.ฆ่าเชื้อเก่า :   ด้วยการดื่มนำ้อุ่น รับประทานอาหารอุ่นๆ ร้อนๆ  แต่ไม่กรอบ  เพราะมันจะระคายคอ แล้วก็ถ้าเป็นหนักถึงขนาดต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อ ก็คงจะต้องปฏิบัติตามที่แพทย์ระบุไว้
         " วิธีป้องกันโรคหวัด "
๑. หลีกเลี่ยงที่ชุมชน  เช่นโรงภาพยนตร์ รถไฟฟ้า จำเป็นต้องไปก็ต้องใส่หน้ากากปิดปากและจมูก
๒. ไอหรือจามควรใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษปิดปากและจมูก
๓. ล้างมือบ่อยๆให้สะอาด
๔. ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตา เพราะอาจจะนำเข้าสู่ร่างกายได้
๕. ไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเวลานาน



คุณค่านาฏศิลป์ไทย

                                          บันทึกการอ่าน

                                    วันที่ ๒๑         เดือน มกราคม        พ.ศ. ๒๕๕๙
                                    ที่มา : ศศิธร นักปี่                          ชื่อเรื่อง : คุณค่านาฏศิลป์ไทย
                                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                    สำนักพิมพ์ : บริษัท ไทยพัฒนา จำกัด
                                    หน้า ๒-๑๓

                           นาฎศิลป์ไทย เป็นศิลปะการแสดงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพราะการแสดงนาฎศิลป์ไทยแต่ละชุด จะสร้างสรรค์จากจินตนาการและแนวคิดที่อิงอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรมประเพณี  และวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้นการได้ไปชมการแสดงนาฎสิลปืไทยในชุดหนึ่งๆ ผู้ชมจะได้รับความรู้และความบันเทิงควบคู่กันไป
         เอกลักษณ์ของนาฎศิลป์ไทย
๑) ท่ารำ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร มีลาอ่อนไหวซ้อยสวยงาม
๒) ดนตรี มีจังหวะทำนองโดดเด่น มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ใช้เครื่องดนตรีในการบรรเลงในการแสดง
๓) เนื้อเพลง ส่วนมากเป็นคำประพันธ์ประเภทกลอนแปด ผู้สอนหรือผู้รำมักกำหนดท่ารำไปตามเนื้อร้อง
๔) เครื่องแต่งกาย มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  สวยงามมาก โดยเฉพาะการแสดงนาฎศิลป์ชุดใหญ่
        " นาฎศิลป์ไทยสามารถสร้างความสุข สร้างความบันเทิงให้กับชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก"

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

บันทึกการอ่าน 

                                    วันที่ ๓๐              เดือน มกราคม         พ.ศ. ๒๕๕๙
                                    ที่มา : ณัทธนัท เลี่ยวไพโรจน์             ชื่อเรื่อง : ภาวะเงินเฟ้อ
                                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                    สำนักพิมพ์ : บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด
                                    หน้า ๑๑๔-๑๒๐

             ภาวะเงินฟ้อ (Inflation ) คือ ภาวะที่ระดับราคาของสินค้าและบริการที่จำเป็นส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ระดับราคาสินค้าและบริการแทบทุกหมวดเพิ่มสูงขึ้นนั้นมีผลทำให้อำนาจซื้อของเงินที่อยู่ในมือของประชาชนลดลง นั่นหมายความว่าเงินจำนวนเท่าเดิมจะใช้จับจ่ายซื้อหาสินค้และบริการได้ในปริมาณที่น้อยลง     
       ๑) รูปแบบหรือระดับภาวะเงินเฟ้อ
ในทางเศรษฐศาสตร์ แบ่งลักษณะเงินเฟ้อออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่
- ภาวะเงินเฟ้อระดับอ่อน คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการไม่สูงขึ้นไม่เกินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี
- ภาวะเงินเฟ้อระดับปานกลาง ( Moderate Inflation ) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปมีราคาสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ ๕ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐
- ภาวะเงินเฟ้อระดับรุนแรง ( Hyper Inflation ) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปปรับราคาเพิ่มมากขึ้น หรืออีกนัยสูงกว่าร้อยละ ๒๐
         ๒) ผลกระทบที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อ
- ทำให้มาตราฐานการครองชีพสูงขึ้น
- ทำให้อำนาจซื้อของกินที่อยู่ในมือประชาชนลดลง



สารพิษในอาหาร

                                      บันทึกการอ่าน 

                                  วันที่ ๒๗            เดือน มกราคม            พ.ศ. ๒๕๕๙
                                  ที่มา : ดร.นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์        ชื่อเรื่อง : สารพิษในอาหาร
                                  พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                  สำนักพิมพ์ : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด
                                  หน้า ๑-๑๒

              สารพิษ หมายถึง สารเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และพบว่าอยู่ในอาหารบางชนิด โดยที่
มนุษย์มิได้ปลอมปนใส่เข้าไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ และสารพิษที่กล่าวถึงนี้รวมถึงสารทุกชนิดที่เป็นต้นเหตุให้เกิดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งอาจมีความรุนแรงถึงชีวิต อย่างที่เรียกว่ากินแล้วเสียชีวิต หรือทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ทรมาน ไม่สบาย หรือเป็นสารที่มีฤทธิ์บั่นทอนสุขภาพ หรือขัดขวางการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย  สิ่งเหล่านี้ก์ถือว่าอยู่ในขอบเขตของคำว่า "สารพิษในอาหาร"
      ในบรรดาวัตถุดิบที่ใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ ได้แก่ พืชและสัตว์    พบว่าพืชบกและสัตว์นำ้บางชนิดที่มีพิษเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งสารพิษเหล่านี้บางชนิดก็มีอยู่เป็นส่วนประกอบของอาหารตามธรรมชาติอยู่แล้ว และบางชนิดก็เป็นสารพิษที่ติดมากับสารอาหารตามธรรมชาตที่สัตว์กินเข้าไปแล้วเกิดการเก็บสะสมสารพิษในตัวสัตว์ เมื่อมนุษย์รับประทานเข้าไปแล้วก็ได้รับอันตรายจากสารพิษนั้น เรียกได้ว่า เป็นการรับสารพิษจากห่วงโซ่อาหาร
                     "สารพิษในอาหารอันตรายกับเรามากโดยที่เรารับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ตัว "

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

มวยสากล

                                     บันทึกการอ่าน

                                วันที่ ๘        เดือน      กุมภาพันธุ์        พ.ศ. ๒๕๕๙
                                ที่มา : วัฒนา  สงวนสมเวียง               ชื่อเรื่อง : มวยสากล
                                พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                สำนักพิมพ์ :  บริษัท สกายบุ๊กส์ จำกัด
                                หน้า ๑-๑๐

           มวยสากลเป็นศาสตร์และศิลป์ ที่ว่าเป็นศาสตร์เพราะเป็นวิชาการที่ทุกท่านอาจจะศึกษาความรู้ได้เช่นวิชาแขนงอื่นๆ และที่เป็นศิลป์ก็เพราะว่า มวยมากไปด้วยกลยุทธ์และลวดลายซึ่งอยากที่จะเรียนรู้และปฏิบัติอย่างเจนจบ ศิลปะอย่างสูงของนักมวยคนนึงยากที่มวยอีกคนนึงจะพึงปฏิบัติสืบต่อกันไปได้ดังที่ทุกท่านตระหนักดีอยู่ว่า มวยเป็นศิลปะของการต่อสู้ป้องกัน ตัวอย่างหนึ่งธรรมชาติของบุคคล ศิลปะของมวยจึงผิดแผกแตกต่างกันไปตามลักษณะหรอแบบของการต่อสู้ป้องกันตัว ปัจจุบันมีมวยอยู่ ๒ ชนิด คือ มวยปลำ้และมวยชก มวยชกก็ยังแยกออกไปเป็น ๒ แบบ คือ ชกด้วยหมับวกด้วยการต่อสู้เท้าตามแบบของมวยไทยและชาติเพื่อนบ้าน และชกด้วยหมัดอย่างเดียวอันเป็นที่นิยมกันทั่วโลก ซึ่งเรียกว่า         " มวยสากล"



ศิลปะกับวัฒนธรรม

                                       บันทึกการอ่าน

                                วันที่ ๓๑                เดือน มกราคม       พ.ศ. ๒๕๕๙
                                ที่มา : วิทูรย์ โสแก้ว                            ชื่อเรื่อง : ศิลปะกับวัฒนธรรม
                                พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                สำนักพิมพ์ : บริษัท วัฒนาพานิช จำกัด
                                หน้า ๗๓ - ๘๐

            ศิลปะ ( Art ) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และความงาม
             วัฒนธรรม ( Culture ) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากการเรียนรู้และประสบการณ์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่าควรที่คนในสังคมยึดถือเป็นแบบแผนเพื่อประพฤติปฏิบัติ และถ่ายทอดสืบต่อมา
     " ไม่มีศิลปะ  ก็เท่ากับไม่มีวัฒนธรรม และหากไม่มีวัฒนธรรม ความเป็นชาติก็จะด้อย ความมีศักดิ์ศรี ความมีเกียรติยศชื่อเสียงในการยอมรับจากนานาอารยประเทศ "
               จากคำกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันระหว่างศิลปะกับวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ศิลปะได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยคติความเชื่อทางวัฒนธรรมที่เปฯแรงดลใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ขณะเดียวกันวัฒนธรรมก็อาศัยรูปแบบของผลงานศิลปะเป็นสิ่งแสดงถึงลักษณะความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าด้วยเช่นกัน

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

การขับถ่ายของสิ่งมีชีวิต

                                        บันทึกการอ่าน

                          วันที่ ๑๖               เดือน กุมภาพันธุ์        พ.ศ. ๒๕๕๙
                          ที่มา : อนุสรณ์   หัชชะวณิช                  ชื่อเรื่อง : การขับถ่ายของสิ่งมีชีวิต
                          พิมพ์ครั้งที่ ๑
                          สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์เดอะบุคส์ จำกัด
                          หน้า ๑๒-๒๐

               การขับถ่าย คือ การกำจัดสารที่เซลลืไม่ต้องการจากเมแทบอลิซึมออกสู่สิ่งแวดล้อม สารที่ร่างกายไม่ต้องการ ได้แก่ ของเสียที่มีธาตุไนโตรเจน (nitrogenous waste) แร่ธาตุและส่วนเกิน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สารสีในนำ้ดี เป็นต้น
       - secretion คือ การขับสารออกมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น การหลั่งฮอร์โมน การขับนำ้ย่อย การขับขี้หู การขับนำ้ตา การขับนำ้เมือก ฯลฯ ดังนั้น สารเหล่านี้จึงไม่จัดเป็นของเสียที่เกิดจากการขับถ่าย
        - defecation คือ การถ่ายอุจจระ ซึ่งเป็นการกำจัดกากอาหารออกจากร่างกาย กากอาหารก็ไม่ใช่ของเสียที่เกิดจากเมแทบอลิซึมของเซลล์



อะตอม

                                       บันทึกการอ่าน

                                    วันที่    ๑๖            เดือน กุมภาพันธุ์          พ.ศ. ๒๕๕๙
                                    ที่มา : ประชา ศิวเวทกุล                           ชื่อเรื่อง : อะตอม
                                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                    สำนักพิมพ์ : บริษัท สำนักพิมพ์เดอะบุคส์  จำกัด
                                    หน้า ๔๐-๔๕

              ธาคุประกิบด้วยอะตอมที่ยังแสดงสมบัติของธาตุได้ ประกอบด้วย อนุภาค ๓ ชนิด คือ โปรตอนที่มีประจุไฟฟ้าบวก  อิเล็กตรอนที่มีไฟฟ้าลบ  และนิวตรอนไม่มีประจุไฟฟ้าหรือเป็นกลาง โปรตอนและนิวตรอนจับตัวกันอยู่ใจกลางอะตอม เรียกว่า นิวเคลียส ส่วนอิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่เคลื่อนที่เป็นวงโคจรอยู่รอบนิวเคลียส และรัศมีของวงโคจรแตกต่างกันตามระดับชั้นพลังงาน อิเล็กตรอนมีพลังงานของการเคลื่อนที่ขึ้นกับความเร็วของอิเล็กตรอน และมีพลังศักย์ขึ้นอยู่กับระยะทางที่อยู่ห่างจากนิวเคลียส  ดังนั้น  อิเล็กตรอนที่โคจรอยู่วงในสุดจะมีพลังงานตำ่สุด ส่วนอิเล็กตรอนวงนอกจะมีพลังงานศักย์สูง
             เมื่ออิเล็กตรอนมีการถ่ายทอด ทำให้มีจำนวนลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากอะตอมอื่น ย่อมทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

เรื่องที่ ๑๑

ชื่อเรื่อง วีรบุรุษจำเป็น

ชื่อผู้แต่ง  อดุลย์ ลิ้บทอง
สำนักพิมพ์  โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
ปีที่พิมพ์  2522
สรุปสาระสำคัญที่ได้จากการอ่าน
  ศักดิ์  สันติชัย ชายหนุ่มเลือดอีสานที่เติบโตมากับท้องไร่ท้องนา ศักดิ์เป็นลูกกำพร้าอยู่กับยายตามลำพังพ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก มีความรู้แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่4 เท่านั้น เพราะไม่มีทุนทรัพย์ให้เล่าเรียน วันหนึ่งเขานั่งอยู่ใต้ร่มไผ่แล้วคิดอะไรตามลำพังอยู่คนเดียวในความคิดของศักดิ์มีแต่ความน้อยใจที่เขาเกิดมาจนไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเพราะเขาต้องการเงินมารักษายายของเขาที่ป่วยอยู่ที่บ้านเวลาผ่านไปสักพักลำดวนแฟนสาวของเขาก็เข้ามาหาเขาทั้งสองนั่งคุยกัน ศักดิ์ได้ระบายให้ลำดวนฟังถึงปัญหาของเขา การที่ศักดิ์ไม่มีการศึกษาทำให้เขามีความคิดอยากเป็นโจรเพราะจะได้ปล้นคนรวยๆนำเงินมารักษายายและเขาสู่ขอลำดวนเพราะลำดวนเป็นลูกคนมีฐานะเป็นถึงลูกสาวกำนันทำให้ศักดิ์ยิ่งทุกข์ใจแต่ในที่สุดลำดวนก็คิดวิธีให้ศักดิ์ไม่ต้องเป็นโจรแต่เป็นทหารแทนเพราะตอนนี้อายุของศักดิ์ก็เข้าเกณฑ์ทหารแล้ว ศักดิ์ดีใจมากเพราะมันแตกต่างจากความคิดของเขาถ้าเขาเป็นโจรทำให้อนาคตของเขาดับลงเลยและเขาจะต้องถูกจับหรือตายแถมเป็นงานที่ไม่สุจริตแต่ถ้าเขาเป็นทหารเขายังเป็นรั้วของชาติถ้าเขาตายเขาก็ตายอย่างสมเกียรติและยังเป็นวีรบุรุษจำเป็นของชาติอีกด้วย
ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน
  ยามที่เราลำบากเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นโจรเพราะงานสุจริตมีให้ทำมีให้เลือกอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องขายศักดิ์ศรีของตนเอง
การนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
  ทำให้รู้ถึงโทษของคนที่ทำงานไม่สุจริตว่าสุดท้ายมีจุดจบอย่างพินาตและยังเป็นแรงจูงใจให้ผมอยากทำงานดีๆอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันของผมเป็นคนดีต่อครอบครัวและสังคมตลอดไป
ที่มา: http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/219.html



 บันทึกการอ่าน

                         วันที่ ๒๒           เดือน กุมภาพันธุ์           พ.ศ. ๒๕๕๙
                         ที่มา : ฉัตรชัย แสนใจ                           ชื่อเรื่อง : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
                         พิมพ์ครั้งที่ ๑
                         สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว
                         หน้า ๑๑-๒๖

        อุทยานแห่งชาตภูกระดึง ตั้งอยู่ที่ อำเภอ ภูกระดึง ในจังหวัดเลย เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม  ในแต่ละปีจึงมีคนมาเที่ยวเฉลี่ยหลายหมื่นคน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวมักมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปพักผ่อนบนภูกระดึงจำนวนมาก ภูกระดึงได้รับการจัดตั้งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยเป็นอุทยานแห่งชาตลำดับที่  ๒ ถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ ๓๔๘.๑- ตารางกิโลเมตร ( ๒๑๗,๕๗๕ ไร่ ) ลัดษณะภูมิประเทศเป็นภูเขหินทรายยอดตัด โดยมีที่ราบบนยอดภูกระดึงประมาณ ๖๐ ตารางกิโลเมตร (๓๗,๕๐๐ ไร่ ) มีความสูงอยู่ระหว่าง ๔๐๐-๑,๒๐๐ เมตรจากระดับนำ้ทะเลจุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณ "คอกเมย" มีความสูง ๑,๓๑๖ เมตร

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

เรื่องที่ ๑๑

ชื่อเรื่อง วีรบุรุษจำเป็น

ชื่อผู้แต่ง  อดุลย์ ลิ้บทอง
สำนักพิมพ์  โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
ปีที่พิมพ์  2522
สรุปสาระสำคัญที่ได้จากการอ่าน
  ศักดิ์  สันติชัย ชายหนุ่มเลือดอีสานที่เติบโตมากับท้องไร่ท้องนา ศักดิ์เป็นลูกกำพร้าอยู่กับยายตามลำพังพ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก มีความรู้แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่4 เท่านั้น เพราะไม่มีทุนทรัพย์ให้เล่าเรียน วันหนึ่งเขานั่งอยู่ใต้ร่มไผ่แล้วคิดอะไรตามลำพังอยู่คนเดียวในความคิดของศักดิ์มีแต่ความน้อยใจที่เขาเกิดมาจนไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเพราะเขาต้องการเงินมารักษายายของเขาที่ป่วยอยู่ที่บ้านเวลาผ่านไปสักพักลำดวนแฟนสาวของเขาก็เข้ามาหาเขาทั้งสองนั่งคุยกัน ศักดิ์ได้ระบายให้ลำดวนฟังถึงปัญหาของเขา การที่ศักดิ์ไม่มีการศึกษาทำให้เขามีความคิดอยากเป็นโจรเพราะจะได้ปล้นคนรวยๆนำเงินมารักษายายและเขาสู่ขอลำดวนเพราะลำดวนเป็นลูกคนมีฐานะเป็นถึงลูกสาวกำนันทำให้ศักดิ์ยิ่งทุกข์ใจแต่ในที่สุดลำดวนก็คิดวิธีให้ศักดิ์ไม่ต้องเป็นโจรแต่เป็นทหารแทนเพราะตอนนี้อายุของศักดิ์ก็เข้าเกณฑ์ทหารแล้ว ศักดิ์ดีใจมากเพราะมันแตกต่างจากความคิดของเขาถ้าเขาเป็นโจรทำให้อนาคตของเขาดับลงเลยและเขาจะต้องถูกจับหรือตายแถมเป็นงานที่ไม่สุจริตแต่ถ้าเขาเป็นทหารเขายังเป็นรั้วของชาติถ้าเขาตายเขาก็ตายอย่างสมเกียรติและยังเป็นวีรบุรุษจำเป็นของชาติอีกด้วย
ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน
  ยามที่เราลำบากเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นโจรเพราะงานสุจริตมีให้ทำมีให้เลือกอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องขายศักดิ์ศรีของตนเอง
การนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
  ทำให้รู้ถึงโทษของคนที่ทำงานไม่สุจริตว่าสุดท้ายมีจุดจบอย่างพินาตและยังเป็นแรงจูงใจให้ผมอยากทำงานดีๆอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันของผมเป็นคนดีต่อครอบครัวและสังคมตลอดไป
ที่มา: http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/219.html



 บันทึกการอ่าน

                         วันที่ ๒๒           เดือน กุมภาพันธุ์           พ.ศ. ๒๕๕๙
                         ที่มา : ฉัตรชัย แสนใจ                           ชื่อเรื่อง : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
                         พิมพ์ครั้งที่ ๑
                         สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว
                         หน้า ๑๑-๒๖

        อุทยานแห่งชาตภูกระดึง ตั้งอยู่ที่ อำเภอ ภูกระดึง ในจังหวัดเลย เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม  ในแต่ละปีจึงมีคนมาเที่ยวเฉลี่ยหลายหมื่นคน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวมักมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปพักผ่อนบนภูกระดึงจำนวนมาก ภูกระดึงได้รับการจัดตั้งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยเป็นอุทยานแห่งชาตลำดับที่  ๒ ถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ ๓๔๘.๑- ตารางกิโลเมตร ( ๒๑๗,๕๗๕ ไร่ ) ลัดษณะภูมิประเทศเป็นภูเขหินทรายยอดตัด โดยมีที่ราบบนยอดภูกระดึงประมาณ ๖๐ ตารางกิโลเมตร (๓๗,๕๐๐ ไร่ ) มีความสูงอยู่ระหว่าง ๔๐๐-๑,๒๐๐ เมตรจากระดับนำ้ทะเลจุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณ "คอกเมย" มีความสูง ๑,๓๑๖ เมตร

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

เรื่องที่๘
ชื่อเรื่อง ลาผู้น่าสงส่าร
ประเภท  เรื่องสั้น
ครั้งที่ 2 วันที่ 2 เดือน2 พ.ศ.2554

ชื่อผู้แต่ง พนม นันทพฤกษ์
สำนักพิมพ์ เมืองมิตร ปีที่พิมพ์ 2538
สรุปสาระสำคัญที่ได้จากการอ่าน
แล้วระฆังใบเก่า  ที่แขวนหน้าอาคารเรียนก็ดังแก้งๆขึ้นเป็นคู่เป็นเสียงที่บ่งบอกว่าโรงเรียน เข้าแล้ว   เด็กๆที่วิ่งเล่นกันตามสถานที่ต่างๆ  ต่างก็จัดแจงเอาเสื้อใส่ ในกางเกงกันอย่างเร่งรีบ   จากนั้นก็รีบทยอยกันไปเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ  ซึ่งปีนี้บองหลาและเอียด  นักเรียนชั้น ป.4 ได้ยืนแถวหลังสุด   นี่เป็นวันแรกของการเปิดเทอมครั้งใหม่  เด็กหลายๆคนรวมทั้งบองหลาได้ใส่เสื้อผ้าที่ขาวนวล ไม่ขาวๆคล้ำเหมือนก่อน   จากนั้นไม่นานเด็กนักเรียนทุกคนก็เริ่มร้องเพลงชาติและกล่าวสวดมนต์  เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ครูผลซึ่งเป็นครูใหญ่  ก็เดินออกไปยืนเด่นอยู่หน้าแถวพร้อมให้โอวาทแก่นักเรียนทุกคน  พอกล่าวจบก็ให้นักเรียนเข้าชั้นเรียน   ไม่นานนัก ครูสมทรงซึ่งเป็นครูประจำชั้นคนใหม่ของห้องบองหลาก็เข้ามาในชั้นเรียนและบอก ให้เลือกตั้งหัวหน้าห้อง  โดยนักเรียนส่วนใหญ่ต่างเสนอชื่อบองหลากันเป็น    ส่วนใหญ่   เมื่อครูสมทรงถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเลือก  บางคนก็บอกว่าควรให้ให้ผู้ชายเป็นเพราะผู้ชายแข็งแรงกว่าผู้หญิง  เวลามีเรื่องอะไรก็จัดการได้ง่ายกว่าผู้หญิง  แล้วครูก็แย้งกลับไปว่าสมัยนี้ผู้หญิงก็เป็นนายกรัฐมนตรีกันเยอะ  แล้วครูสมทรงก็ถามเหตุผลไปเรื่อยๆจนมาถึงบองหลา  บองหลาก็ตอบว่า คนที่จะเป็นผู้นำคนอื่นต้องมีความสามารถหลายๆด้าน  มีความรับผิดชอบ  มีความรู้ในหน้าที่การงานที่จะต้องทำ  แล้วก็ต้องเป็นคนเห็นแก่คนอื่นเท่าๆกับที่เห็นแก่ตนเองครับ  เอ่อ..ผมคิดว่า. ไม่ทันที่บองหลาจะได้เอ่ยต่อ  ครูสมทรงก็ขัดขึ้นเสียก่อนเพราะไม่ต้องการให้บองหลาปฏิเสธในการเป็นหัวหน้า ห้อง  แล้วครูได้กล่าวว่า  เพื่อนๆเขาไว้วางใจเธอ  เขาพิจารณาแล้วว่าเธอเหมาะสม  เมื่อมีโอกาสที่จะได้ทำงานส่วนรวม  เราก็ควรรับหน้าที่อันมีเกียรตินั้นไว้  การทำงานเพื่อคนอื่น  โดยได้รับความไว้วางใจจากหมู่พวกเป็นสิ่งที่ดี  มันจะช่วยทำให้เรารู้จักกับความรับผิดชอบแบบใหม่  รู้จักการโอนอ่อนหนักเบา  รู้จักการเสียสละ   และในที่สุดคนที่ได้เป็นหัวหน้าห้องก็คือบองหลานั้นเอง

ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน
การจะเป็นผู้นำที่ดีนั้นไม่ใช่ดูแค่คุณลักษณะภายนอกว่าคนๆนั้นต้อง เป็นผู้ชาย  ดูดี  มีภูมิฐาน  หล่อ รวย  แต่เราควรที่ภายใน  ต้องเลือกคนที่มีความซื่อสัตย์  สุจริต  มีความคิดก้าวไกล  มีความรับผิดชอบ  ยุติธรรม  รู้จักเสียสละ  ในหน้าที่การงานของตนเอง  ดังนั้นคุณลักษณะเหล่านี้สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้

การนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
ถ้าเราเป็นคนที่ไว้วางใจได้  รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม  ซื่อสัตย์  มีความรับผิดชอบ  ยุติธรรม  เราก็สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้  แต่เราไม่ควรนกยอหรือเสนอตัวเองเป็นผู้นำ  เพราะจะทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนโอ้อวด  ถึงแม้จะเป็นผู้ตาม  ก็ควรมีลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น  ถ้าทั้งผู้นำและผู้ตามต่างมีคุณลักษณะที่ดี  ก็สามรถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้

ที่มา:http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/220.html


เรื่องที่๙

ประเภท สื่อการเรียนรู้
ครั้งที่  2    วันที่  9    เดือน  กุมภาพันธ์   พ.ศ.  2554
ชื่อเรื่อง    พ่อค้าผู้ซื่อสัตย์
ชื่อผู้แต่ง   มันศูรฺ  อับดุลลอฮฺ
สำนักพิมพ์    อาลีพาณิชย์                ปี่ที่พิมพ์   กรกฎาคม    2548
สรุปสาระสำคัญที่ได้จาการอ่าน
                      มีพ่อค้าผู้ซื่อสัตย์อยู่ท่านหนึ่งอาศัยอยู่ในแผ่นดินอาหรับชื่อ มุหัมมัด บิน มุงกะดิรฺ  ท่านเป็นที่รู้จักในความซื่อสัตย์ และความเป็นคนดี วันหนึ่งท่านมุหัมมัด มีความจำเป็นต้องไปทำธุระในเมืองหลวง ท่านให้คนงานดูแล คนงานกำลังทำหน้าที่ดุแลร้าน ก็มีชาวอาหรับชนบทมาซื้อของจากร้านของท่าน
        ความจริงของที่ขายไปนั้นมีราคาเพียง 5 ดิรฺฮม เท่านั้น แต่คนงานไม่รู้จึงขายไปในราคา 10 ดรฺฮัม ชาวอาหับผู้นั้นพอใจในราคาสินค้า จึงจ่ายไป  
        ต่อมาท่าน มุหัมมัดได้กลับมาเมื่อทราบเรื่องดังกล่าว จึงเดินออกตามหาชาวอาหรับผู้นั้น 1 วันเต็มท่านได้เดินตามหา จนในที่สุดท่านก็พบชาวอาหรับผู้นั้น (ท่านใช่มั้ยที่ซื้อของจากร้านของฉัน) ท่านได้ถาม
 ( ใช่ครับ) ที่จริงแล้วสินค้านั้นมีราคาเพียง 5 ดิรฺฮัม เท่านั้น แต่ท่านซื้อมา 1 ดิรฺฮัม ท่านได้ยื่น 5 ดิรฺฮัม กลับไป
แต่ชาวอาหรับได้ปฏิเสธไปเพราะเขาพอใจกับราคาสินค้านั้นและไม่เห็นแพงอะไรเลย เขาเลยพูดกับมุหัมมัดว่า
 ท่านจงเอาคืนเถอะเพราะว่าฉันพอใจกับราคานั้นแล้วและได้เห็นใจที่ท่านอุตส่าห์ตามหาฉันมา 1 วันเต็มๆ
ท่านบอกว่า ไม่ได้หรอก แม้ท่านพอใจ แต่ฉันนี้ซิ รู้สึกเป็นทุกข์ใจอย่างมาก กรุณาเอาคืนเถอะครับ
ท่านก็คะยั้นคะยอให้ชาวอาหรับคนนั้นรับเงินคืน
ข้อคิดทีได้จากเรื่องนี้
ถ้าหากคนเราในโลกนี้ ซื่อสัตย์คนเราก็สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข เพราะจะทำให้คนเรามีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
การนำข้อคิดไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
จะทำให้เราไม่เห็นแก่ตัว ยังทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นและยังทำให้คนเรามีความซื่อสัตย์ในการทำงานของเราอีกด้วย ทั้งนี้ เราควรเอาแบบอย่างทีดีอย่างนี้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อเป็นผลดีต่อชีวิตของเราต่อไป

ที่มา:http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/222.html 



เรื่องที่ ๑๐
ประเภท สื่อการเรียนรู้ บทความ
ครั้งที่ 2   วันที่ 6   เดือน ตุลาคม   พ.ศ.2553
ชื่อเรื่อง พลังแห่งความเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ชื่อผู้แต่ง ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
สำนักพิมพ์  พิมพ์ดี บจก.        ปีที่พิมพ์ 34

สรุปสาระสำคัญที่ได้จากการอ่าน
          คณะวิจัยจากสถาบันดนตรีแห่งเบอร์ลินเผยผลการวิจัยเคล็ดลับการเป็นอัจฉริยะ โดยการพยายามพากเพียรและฝึกฝนทำในสิ่งนั้นให้ได้อย่างน้อย10000ชั่วโมง สมองจึงสามารถพัฒนาให้เป็นคนอัจฉริยะได้ โดยคณะวิจัยได้ทำการวิจัยจากกลุ่มนักเรียนไวโอลินของโรงเรียนที่ฝึกฝนมาต่อเนื่องยาวนานกว่า 20   ปี พบว่านักเรียนที่มีฝีมือระดับอัจฉริยะ ใช้เวลาในการฝึกฝน10000 ชั่วโมงขึ้นไป ในขณะที่กลุ่มนักเรียนที่มีฝีมือระดับดีรองลงมาใช้เวลาในการฝึกฝนได้เพียง 8000ชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่านักรียนในกลุ่มแรก ผลการวิจัยดังกล่าวจึงเป็นการค้นพบที่ตรงกับสิ่งที่ โทมัส เอวา เอดิสัน นักวิทยาศาสตร์ของโลกได้เคยกล่าวไว้ว่า “ความสำเร้จของการประดิษฐ์สิ่งต่างๆนั้นเพียง1เปอร์เซ็นต์มาจากแรงบันดาลใจ ส่วนอีก 99 เปอร์เซ็นต์มาจากการที่มีความเพียรพยายาม
               พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกเติบโตมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คุณลักษณะแห่งความพากเพียรจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรปลูกฝังให้แก่ลูก โดยพ่อแม่สามารถสร้างพลังแห่งความพากเพียรให้เกิดขึ้นในชีวิตของลูกโดยเริ่มจาก 1.ฝึกลูกให้มองสายตาจับจ้องเป้าหมาย 2.ปลูกฝังทัศนคติมุมมองเชิงบวกแก่ลูก ฝึกให้ลูกเรียนรู้จากความล้มเหลวอย่างมีสติปัญญา  4  .เป็นแบบอย่างในความพยายามให้ลูกได้เห็น   5  .ฝึกฝนให้ชีวิตลูกอยู่ในความพากเพียร

ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน
            ความอดทนพากเพียร ความพยายามฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอและทุ่มเทกับการกระทำในสิ่งนั้น เป็นลักษณะชีวิตสำคัญที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งตรงข้ามกับบุคคลที่ประสบแต่ความล้มเหลว เนื่องจากเขาไม่มีความอดทน พากเพียร ขาดความพยายามในการกระทำสิ่งนั้นๆ

การนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน
  กระตุ้นให้ตัวเองฝึกฝนชีวิตแห่งความพากเพียร ขยัน อดทน และหมั่นฝึกซ้อมในสิ่งที่ตัวเองชอบ แม้ว่าในความพยายามจะต้องประสบกับอุปสรรคมากมายแค่ไหน และหากแม้วันนี้จะต้องเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่ถึงเส้นชัย ความภาคภุมิใจจะเกิดขึ้นพร้อมกับความสุขที่ได้ประสบความสำเร็จ

ที่มา: http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/218.html

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

เรื่องที่๖
เรื่องที่อ่าน  นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ใครโง่กว่าใคร

 สาระสำคัญ นิทานล้านนาเรื่องใครโง่กว่าใคร อีกนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขำขัน และให้แง่คิดในการใช้ชีวิตอีกด้วย… มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า
หลายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ”คง”… ทิดคนนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา… ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง…ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุกๆ ปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ 4 – 5 กิโลเมตร… เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ใครโง่กว่าใครวันหนึ่งตอนบ่าย… ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่งเอาไปแกงส้มอร่อยมาก… นางคิดถึงสามีจึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย… ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมานางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ม่อยหลับไป… ขณะที่หลับนางฝันว่ามีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไข่วคว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่อราดหมด เลยไม่มีอาหารไปสู่บิดา…
… เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า ‘’ โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม อือๆๆ ‘’… พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสี่ยใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า ‘’ ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริง ๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้” ทิดคงสงสัย…ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า ‘’มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้‘’
เมื่อทิดคงเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก… แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่น ๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า ‘’ท่านร้องไห้ทำไม‘’ ชายผู้นั้นบอกว่า ‘’ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้‘’ ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้นแคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้… ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกไปและกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว
… ทิดคงพายเรือต่อไป… เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ข้างฝ่าย ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง… ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเข้าไปร้องถามว่า “พวกท่านทำอะไรนั่น”… “เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย” ทิดคงบอกว่า ‘’ ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ ‘’ พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่างๆ นานาว่า ‘’ท่านช่างมีปัญญาแท้ๆ” แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล
… ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง… เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่างดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่างๆ ออกวางกลางแดด… พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น… แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น… ทิดคงรู้สึกแปลกใจจึงร้องถามออกไปว่า ‘’ ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น ‘’ พวกนั้นบอกว่า ‘’ พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ‘’ ทิดคงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า ‘’ สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ ‘’… พอพูดจบทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้… ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวคำชมเชยว่า ‘’ ท่านช่างมีปัญญาจริงๆ ‘’… ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก
… ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น… พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก… ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า… หากลูกเมียผิดพลาดไปตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้… ทิดคงจึงกลับยังบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
๑. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
๒. คติ ‘’ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ‘’
ที่มา : http://bkkseek.com/


เรื่องที่๗
ชื่อเรื่อง กินอย่างไรไม่กระทบระบบย่อยอาหาร
ชื่อผู้แต่ง วนิษา เรซ
สำนักพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว

สาระสำคัญ สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ทำไมบางคนถึงปวดท้องบ่อย หรือชอบมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารบ่อยๆ แต่ทำไมบางคนจึงไม่เป็น?
เรื่อง นี้ บอกได้เลยว่าพฤติกรรมการกินอาหารเป็นส่วนสำคัญของสาเหตุที่ว่ามานี้ อย่างเช่น คนที่ชอบท้องอืดท้องเฟ้อ อาจเป็นเพราะกินอาหารมากไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้น้ำย่อยที่มีอยู่ไม่พอที่จะย่อยอาหารได้หมด สิ่งที่ควรทำคือ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงหรือเปลี่ยนมากินให้บ่อยขึ้น รวมทั้งเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้นด้วย และการกินอาหารประเภททอดที่มีน้ำมันมากๆ ก็จะทำให้กระเพาะทำงานช้าลง และทำให้ความเป็นกรดด่างในน้ำย่อยเปลี่ยนไป ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย
การดื่มชากาแฟก็ มีส่วนทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เช่นกัน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนการสูบบุหรี่จัดจะส่งผลให้กระเพาะบีบตัวไม่ดี หูรูดของกระเพาะปิดเปิดได้ไม่ดี ทำให้กรดในกระเพาะล้นขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอกได้ และการดื่มน้ำน้อยไป หรือกินอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใยก็จะทำให้ท้องผูกด้วย
 ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน
ปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่

การนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
กินอาหารอย่างถูกวิธี และ ควรกินอาหารประเภทไหน

ที่มา : http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/2

บันทึกการอ่าน กิตติพศ

เรื่องที่๓

เรื่องที่อ่าน    สองสาวใช้กับไก่

จากหนังสือ  http://www.fungdham.com/fable/fable085.html

เรื่องย่อ / ใจความสำคัญ
หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง
เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน
“ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที”
สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง
สองสาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย
สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้

ข้อคิดที่ได้
ให้ทุกเเก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว




เรื่องที่๔

เรื่องที่อ่าน กบเลือกนาย
 สาระสำคัญ  เหล่าฝูงกบอยู่กันอย่างผาสุขในหนองน้ำหนึ่ง วันหนึ่งพวกมันคิดว่า
เป็นสิ่งไม่ถูกต้องหากพวกมันไม่มีราชาปกครองตน
มันจึงทูลขอเทพให้ประทานราชามาปกครองพวกมัน
เทพได้ยินจึงส่งท่อนซุงลงมา
เหล่ากบไม่พอใจที่ท่อนซุงอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร
จึงทูลขอเทพให้ประทานราชามาใหม่
เทพจึงส่งปลาไหลลงมาเป็นราชาพวกมัน
ปลาไหลว่ายน้ำไปมา ทำให้กบไม่พอใจอีก
จึงทูลขอเทพอีกครั้งให้ส่งราชาลงมาใหม่
เทพรำคาญจึงส่งนกกระยางลงไป
นกกระยางกินกบทีละตัวๆ จนกบหมดจากหนองน้ำ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีการปกครองแต่ผาสุข ย่อมดีกว่ามีคนปกครองแต่มอดม้วย
ที่มา : http://xn--o3cdb3hi.codingbasic.com/page/3/

เรื่องที่๕
เรื่องที่อ่าน ห่านกับไข่ทองคำ

สาระสำคัญ ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงห่านไว้กินไข่เขาเก็บไข่มากินทุกวันเช้าวันหนึ่งขณะเก็บไข่ห่าน เขาพบว่ามันเป็นสีเหลืองอร่ามเมื่อจับดูจึงรู้ว่าว่ามันเป็นไข่ทองคำ ทุกเช้าห่านจะไข่ออกมาวันละฟองเขาจึงทยอยขายไข่นั้นจนร่ำรวย อยู่มาวันหนึ่งเขาเกิดความโลภ จึงจับห่านผ่าท้อง หวังว่าจะเจอไข่มากกว่าเดิมเมื่อเขาเปิดออกดูกลับพบแต่ความว่างเปล่าในท้องของห่านตัวนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลภมากลาภหาย
ที่มา: http://xn--o3cdb3hi.codingbasic.com/page/3/