เรื่องที่๖
เรื่องที่อ่าน นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ใครโง่กว่าใคร
สาระสำคัญ นิทานล้านนาเรื่องใครโง่กว่าใคร อีกนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขำขัน และให้แง่คิดในการใช้ชีวิตอีกด้วย… มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า
หลายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ”คง”… ทิดคนนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา… ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง…ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุกๆ ปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ 4 – 5 กิโลเมตร… เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ
วันหนึ่งตอนบ่าย… ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่งเอาไปแกงส้มอร่อยมาก… นางคิดถึงสามีจึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย… ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมานางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ม่อยหลับไป… ขณะที่หลับนางฝันว่ามีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไข่วคว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่อราดหมด เลยไม่มีอาหารไปสู่บิดา…
… เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า ‘’ โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม อือๆๆ ‘’… พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสี่ยใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า ‘’ ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริง ๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้” ทิดคงสงสัย…ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า ‘’มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้‘’
เมื่อทิดคงเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก… แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่น ๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า ‘’ท่านร้องไห้ทำไม‘’ ชายผู้นั้นบอกว่า ‘’ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้‘’ ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้นแคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้… ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกไปและกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว
… ทิดคงพายเรือต่อไป… เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ข้างฝ่าย ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง… ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเข้าไปร้องถามว่า “พวกท่านทำอะไรนั่น”… “เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย” ทิดคงบอกว่า ‘’ ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ ‘’ พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่างๆ นานาว่า ‘’ท่านช่างมีปัญญาแท้ๆ” แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล
… ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง… เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่างดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่างๆ ออกวางกลางแดด… พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น… แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น… ทิดคงรู้สึกแปลกใจจึงร้องถามออกไปว่า ‘’ ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น ‘’ พวกนั้นบอกว่า ‘’ พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ‘’ ทิดคงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า ‘’ สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ ‘’… พอพูดจบทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้… ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวคำชมเชยว่า ‘’ ท่านช่างมีปัญญาจริงๆ ‘’… ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก
… ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น… พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก… ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า… หากลูกเมียผิดพลาดไปตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้… ทิดคงจึงกลับยังบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
๑. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
๒. คติ ‘’ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ‘’
๑. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
๒. คติ ‘’ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ‘’
ที่มา : http://bkkseek.com/
เรื่องที่๗
ชื่อเรื่อง กินอย่างไรไม่กระทบระบบย่อยอาหาร
ชื่อผู้แต่ง วนิษา เรซ
สำนักพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว
สาระสำคัญ สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ทำไมบางคนถึงปวดท้องบ่อย หรือชอบมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารบ่อยๆ แต่ทำไมบางคนจึงไม่เป็น?
เรื่อง นี้ บอกได้เลยว่าพฤติกรรมการกินอาหารเป็นส่วนสำคัญของสาเหตุที่ว่ามานี้ อย่างเช่น คนที่ชอบท้องอืดท้องเฟ้อ อาจเป็นเพราะกินอาหารมากไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้น้ำย่อยที่มีอยู่ไม่พอที่จะย่อยอาหารได้หมด สิ่งที่ควรทำคือ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงหรือเปลี่ยนมากินให้บ่อยขึ้น รวมทั้งเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้นด้วย และการกินอาหารประเภททอดที่มีน้ำมันมากๆ ก็จะทำให้กระเพาะทำงานช้าลง และทำให้ความเป็นกรดด่างในน้ำย่อยเปลี่ยนไป ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย
การดื่มชากาแฟก็ มีส่วนทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เช่นกัน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนการสูบบุหรี่จัดจะส่งผลให้กระเพาะบีบตัวไม่ดี หูรูดของกระเพาะปิดเปิดได้ไม่ดี ทำให้กรดในกระเพาะล้นขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอกได้ และการดื่มน้ำน้อยไป หรือกินอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใยก็จะทำให้ท้องผูกด้วย
ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน
ปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่
การนำข้อคิดที่ได้จากการอ่านนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
กินอาหารอย่างถูกวิธี และ ควรกินอาหารประเภทไหน
ที่มา : http://archive.wunjun.com/nootnoot1111/44/2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น